ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

5.การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ ที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล

การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล
“นโยบายด้านการต่างประเทศเป็นส่วนประกอบสำคัญของนโยบายองค์รวมทั้งหมดในการบริหารราชการแผ่นดิน”
๑. การปกป้องและเชิดชูสถาบันกษัตริย์ และการสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย (นโยบาย รบ. ข้อ ๑, ๒)
แนวทาง คือ การเน้นย้ำการมองไปข้างหน้า และยืนยันการก้าวไปสู่ประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง และยั่งยืนของไทย ตลอดจนศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางด้านต่าง ๆ ของไทยจากที่ตั้งทาง ยุทธศาสตร์ ความเข้มแข็งของพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และการมีบทบาทในประชาคมระหว่างประเทศ ตลอดจนการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ สถาบันฯ
กิจกรรมหลัก
(๑) การชี้แจงต่อคณะทูต/ บุคคลสำคัญ/ decision-makers/ องค์การระหว่างประเทศ/ ภาคเอกชน/ สื่อมวลชน/ ชุมชนไทย ในต่างประเทศ
(๒) การจัดทำ PR Campaign/ การจัด Roadshow
(๓) การเชิญสื่อมวลชนต่างประเทศเยือนไทย
(๔) การดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ ที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถาบันฯ

๒. การกระชับความสัมพันธ์กับต่างประเทศและส่งเสริมบทบาทไทยในเวทีระหว่างประเทศ (นโยบาย รบ. ข้อ ๒, ๖, ๗)
แนวทาง คือ การสานต่อความร่วมมือกับประเทศ เพื่อนบ้านและนานาประเทศ ทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคี และต่อยอดความร่วมมือกับประเทศยุทธศาสตร์/ มีศักยภาพ เพื่อส่งเสริมความมั่นคง ในภูมิภาคและในระดับโลก และส่งเสริม ความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนร่วมกันไปในทุกมิติ
กิจกรรมหลัก
(๑) การเยือนและการประชุมทวิภาคีและพหุภาคี ในระดับราชวงศ์/ ผู้นำ/ รมว.กต./ ผู้บริหารระดับสูง
(๒) โครงการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา
(๓) โครงการความร่วมมือด้านต่าง ๆ
(๔) โครงการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกับประเทศเพื่อนบ้าน

๓. การทูตเพื่อประชาชน (นโยบาย รบ. ข้อ ๒)
แนวทาง คือ การให้ความคุ้มครองและดูแลคนไทย ในต่างประเทศ รวมทั้งคนไทยที่ถูกหลอกเป็นผู้เสียหายในขบวนการค้ามนุษย์ เช่น ค้าประเวณี ลูกเรือประมงไทย และแรงงานไทยที่ประสบปัญหา ในต่างประเทศ การให้บริการด้านต่าง ๆ แก่ประชาชน เช่น การทำหนังสือเดินทาง
กิจกรรมหลัก
(๑) การร่วมมือและบูรณาการกับหน่วยงานอื่น ๆ
(๒) การจัดทำและพัฒนาระบบ Application, E-Visa, Database ของระบบตรวจลงตราและการกงสุล
(๓) การส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนไทยในต่างประเทศ

๔. การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ การลดความเลื่อมล้ำของสังคม การรักษาความมั่นคงของฐานทรัพยากรฯ (นโยบาย รบ. ข้อ ๒, ๓, ๙, ๑๐, ๑๑)
แนวทาง คือ การบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภายใน เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ในด้านที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการชี้แจงทำความเข้าใจและให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพัฒนาการและ ผลการดำเนินการป้องกันแก้ไขปัญหาของไทย กิจกรรมหลัก
(๑) การเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศที่สำคัญ เช่น การประชุมด้านสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม และทรัพยากรน้ำ
(๒) การประชุมและโครงการต่าง ๆ เกี่ยวกับการแก้ไข บริหารจัดการชายแดน และการแก้ไขปัญหาความไม่สงบจังหวัดชายแดนใต้
(๓) การร่วมมือและบูรณาการกับหน่วยงานไทยอื่น ๆ

๕. การเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (นโยบาย รบ. ข้อ ๖, ๗, ๑๑)
แนวทาง คือ การสร้างความตื่นตัวต่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ ผ่านช่องทางต่าง ๆ และร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาค (connectivity) และป้องกัน/ แก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียน กับประเทศคู่เจรจา และบทบาทการเป็นประเทศ ผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-จีน
กิจกรรมหลัก
(๑) การประชุมในกรอบต่าง ๆ ของ ASEAN
(๒) การหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (๓) การผลักดันการแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
(๔) โครงการอาเซียนสัญจร
(๕) โครงการบัวแก้วสัญจร (๖) โครงการสัมมนาวิทยุชายแดนและวิทยุสราญรมย์สัญจร (๗) การจัดบรรยายให้ความรู้ตามสถานที่ราชการสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

๖ .การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ (นโยบาย รบ. ข้อ ๖, ๗, ๙)
แนวทาง คือ การดำเนินการเชิงรุกในการสนับสนุน การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย การสร้างความเชื่อมั่นต่อศักยภาพและเศรษฐกิจ ของไทย และการส่งเสริมการค้าการลงทุน กับต่างประเทศ
กิจกรรมหลัก
(๑) การประชุมตามกรอบความร่วมมือในภูมิภาค และอนุภูมิภาคต่าง ๆ
(๒) โครงการแสวงหาตลาดและโอกาสในการลงทุน
(๓) การจัดทำความตกลงเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน (๔) โครงการสร้างความร่วมมือเพื่อพัฒนาองค์ความรู้
(๕) โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น ความมั่นคง ด้านอาหารและพลังงาน วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

2.เครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ

เครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ เครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ประกอบด้วย 1. การทูต การทูต ( Diplomacy) หมายถึง ศิลปะในการดำเนินการและในการเป็นตัวแทนผลประโยชน์แห่งรัฐบาลของตนในต่างประเทศด้วยความเฉลียวฉลาด 2. การเจรจาระหว่างประมุขหรือผู้นำของรัฐ นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา การคมนาคมระหว่างประเทศเจริญก้าวหน้าขึ้นมาก ทำให้การเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างประเทศต่างๆ ทั่วทุกมุมโลกกระทำได้โดยสะดวกรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น จึงทำให้เกิดประเพณีทางการทูตขึ้นใหม่คือการเดินทางไปเจรจาระหว่างประมุขหรือผู้นำของรัฐต่างๆ ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน เป็นบุคคลแรกที่ได้ปฏิบัติ คือ การเดินทางเข้าร่วมประชุมเจรจาที่แวร์ซาร์ย ประเทศฝรั่งเศสภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อมาวิธีการนี้ได้กระทำกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน 3. การทหาร หลายประเทศได้ใช้กำลังทหารเป็นเครื่องมือสนับสนุนการดำเนินนโยบายต่างประเทศของตน เพราะว่าในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศนั้น แต่ละชาติต่างมุ่งรักษาหรือแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ความมุ่งหมายของการแข่งขันคือความต้องการที่จะให...

3.สาเหตุของการขัดแย้งระหว่างประเทศ

สาเหตุของการขัดแย้งระหว่างประเทศ ปรากฏการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นมาในทุกยุคทุกสมัยก็คือความขัดแย้ง ซึ่งหมายถึงสภาวการณ์ที่ตั้งแต่ 2 ประเทศขึ้นไปมีปัญหาบางประการที่ต้องกระทำการตกลงหรือระงับข้อปัญหานั้นเสียก่อน มิเช่นนั้นสภาวะดังกล่าวจะมีผลทำให้ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศไม่อาจดำเนินไปได้อย่างปกติ สำหรับสาเหตุของความขัดแย้งระหว่างประเทศสามารถสรุปได้ 5 ประการ ดังนี้ 1. การขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ของชาติ ผลประโยชน์ของชาติ ได้แก่สิ่งที่ผู้นำหรือประชาชนของประเทศหนึ่งถือว่ามีความสำคัญยิ่งต่อการธำรงไว้ซึ่งเอกราช วิถีชีวิต ความมั่งคั่ง และเกียรติภูมิของประเทศ โดยทั่วไปเมื่อประเทศหนึ่งพิจารณาเห็นว่าอีกประเทศหนึ่งแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ประเทศมากจนเป็นอันตรายต่อประเทศตน การขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งสองย่อมเกิดตามมา 2. ทัศนคติที่มีต่อกัน ทัศนคติที่มีต่อกันระหว่างประเทศนั้นเป็นผลมาจากเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันและทัศนคติของประชาชนของแต่ละประเทศเป็นสำคัญ เช่น ทัศนคติที่ไม่ไว้วางใจกันมาแต่ก่อนจะเป็นตัวกำหนดนโยบายต่างประเทศ ดังเช่น เวียดนามมีทัศนคติสืบเนื่องมาจากอดีต...

4.มาตรการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประเทศ

มาตรการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประเทศ ในกรณีที่เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศขึ้น ประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนั้นย่อมไม่สามารถจะรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศกันไว้ได้ หากความขัดแย้งมีขีดความรุนแรงสูงอาจจะต้องถึงกับมีการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตก็ได้ อย่างไรก็ดี โดยทั่วไปแล้วประเทศคู่กรณีที่เกิดความขัดแย้งนั้นไม่พึงปรารถนาที่จะปล่อยให้ความขัดแย้งมีอยู่ตลอดไป เพราะตราบเท่าที่ยังมีความขัดแย้งอยู่ ประเทศคู่กรณีไม่อาจมีความสัมพันธ์ปกติต่อกันได้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องแสวงหามาตรการที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น สำหรับมาตรการที่ถือเป็นขนบธรรมเนียมในการแก้ไข ความขัดแย้งนั้น มีดังนี้ 1. การเจรจาโดยตรงระหว่างประเทศที่มีปัญหาต่อกัน วิธีการนี้จะใช้ได้กับประเทศที่มีปัญหาต่อกันโดยตรง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นประเทศที่มีพรมแดน ติดต่อกัน ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งที่นำไปสู่ความขัดแย้งกัน เช่น กรณีปัญหาชายแดนพม่าของไทย ซึ่งทำให้รัฐบาลและผู้นำทางทหารของไทยและพม่าต้องเปิดเจรจาต่อกันเพื่อแก้ไขปัญหา เป็นต้น 2. การประนีประนอม เป็นมาตรการที่คู่กรณีที่มีควา...