ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

3.สาเหตุของการขัดแย้งระหว่างประเทศ


สาเหตุของการขัดแย้งระหว่างประเทศ
ปรากฏการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นมาในทุกยุคทุกสมัยก็คือความขัดแย้ง ซึ่งหมายถึงสภาวการณ์ที่ตั้งแต่ 2 ประเทศขึ้นไปมีปัญหาบางประการที่ต้องกระทำการตกลงหรือระงับข้อปัญหานั้นเสียก่อน มิเช่นนั้นสภาวะดังกล่าวจะมีผลทำให้ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศไม่อาจดำเนินไปได้อย่างปกติ สำหรับสาเหตุของความขัดแย้งระหว่างประเทศสามารถสรุปได้ 5 ประการ ดังนี้

1. การขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ของชาติ
ผลประโยชน์ของชาติ ได้แก่สิ่งที่ผู้นำหรือประชาชนของประเทศหนึ่งถือว่ามีความสำคัญยิ่งต่อการธำรงไว้ซึ่งเอกราช วิถีชีวิต ความมั่งคั่ง และเกียรติภูมิของประเทศ โดยทั่วไปเมื่อประเทศหนึ่งพิจารณาเห็นว่าอีกประเทศหนึ่งแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ประเทศมากจนเป็นอันตรายต่อประเทศตน การขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งสองย่อมเกิดตามมา

2. ทัศนคติที่มีต่อกัน
ทัศนคติที่มีต่อกันระหว่างประเทศนั้นเป็นผลมาจากเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันและทัศนคติของประชาชนของแต่ละประเทศเป็นสำคัญ เช่น ทัศนคติที่ไม่ไว้วางใจกันมาแต่ก่อนจะเป็นตัวกำหนดนโยบายต่างประเทศ ดังเช่น เวียดนามมีทัศนคติสืบเนื่องมาจากอดีตว่าจีนเคยมารุกรานหลายครั้ง ทำให้ประชาชนเวียดนามมีทัศนคติที่ระแวงจีนอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นยังมีทัศนคติทางด้านวัฒนธรรม เช่น ประเทศยุโรปมักจะมีทัศนคติว่าวัฒนธรรมของตนสูงกว่าของคนเอเชียและแอฟริกา ดังนั้นเมื่อคนยุโรปเข้าไปติดต่อค้าขายหรือตั้งถิ่นฐานในเอเชียและแอฟริกาก็มักจะมีทัศนคติดูถูกเหยียดหยามคนผิวสีว่าไม่มีอารยธรรมเท่าเทียมตน จากตัวอย่างดังกล่าว ย่อมเห็นได้ว่าทัศนคติที่มีต่อกันอาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศได้

3. การขัดแย้งทางอุดมการณ์
อุดมการณ์เป็นระบบความคิดที่จะกำหนดแนวทางชีวิตของคนในสังคม ภาวะเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของชาติ ในยุคสงครามเย็นนั้น ประเทศมหาอำนาจซึ่งถือว่าตนมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับประเทศต่างๆ ในโลก ได้ใช้อุดมการณ์เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ อุดมการณ์ที่ใช้คือ เสรีนิยม (Liberalism) ของสหรัฐอเมริกา และคอมมิวนิสต์ (Communism) ของโซเวียต

4. การแข่งขันแสวงหาอำนาจ
จากประวัติศาสตร์ ชาติที่มีกำลังมากกว่าได้แสวงหาอำนาจด้วยการล่าอาณานิคมหรือการสร้างจักรวรรดินิยม แต่ในปัจจุบันจักรวรรดินิยมเป็นสิ่งที่ล้าสมัยและถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ดังนั้นชาติมหาอำนาจจึงเปลี่ยนมาใช้วิธีการให้การสนับสนุนรัฐบาลของประเทศต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ประเทศเหล่านั้นเป็นพันธมิตรกับประเทศตน การสนับสนุนทำได้หลายรูปแบบ เช่น การช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ การให้กำลังอาวุธ การส่งคณะที่ปรึกษาทางทหาร รวมถึงการส่งกองกำลังทหารเข้าไปสนับสนุนรัฐบาลที่เป็นพันธมิตร การแข่งขันแสวงหาอำนาจดังกล่าวมานี้ ทำให้เกิดการขัดแย้งระหว่างชาติมหาอำนาจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์อย่างกว้างขวางในบรรดาประเทศพันธมิตรของชาติมหาอำนาจ และทำให้เกิดความระแวง มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งในที่สุด

5. การขัดแย้งเรื่องดินแดน
การขัดแย้งในเรื่องดินแดนได้เกิดขึ้นในหลายภูมิภาคของโลกตลอดเวลา และได้นำไปสู่การทำสงครามหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งเกิดเป็นความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับชาติอาหรับซึ่งประกอบด้วย อียิปต์ ซาอุดิอารเบีย ซีเรีย อิรัก จอร์แดน และเลบานอน เป็นต้น


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

2.เครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ

เครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ เครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ประกอบด้วย 1. การทูต การทูต ( Diplomacy) หมายถึง ศิลปะในการดำเนินการและในการเป็นตัวแทนผลประโยชน์แห่งรัฐบาลของตนในต่างประเทศด้วยความเฉลียวฉลาด 2. การเจรจาระหว่างประมุขหรือผู้นำของรัฐ นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา การคมนาคมระหว่างประเทศเจริญก้าวหน้าขึ้นมาก ทำให้การเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างประเทศต่างๆ ทั่วทุกมุมโลกกระทำได้โดยสะดวกรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น จึงทำให้เกิดประเพณีทางการทูตขึ้นใหม่คือการเดินทางไปเจรจาระหว่างประมุขหรือผู้นำของรัฐต่างๆ ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน เป็นบุคคลแรกที่ได้ปฏิบัติ คือ การเดินทางเข้าร่วมประชุมเจรจาที่แวร์ซาร์ย ประเทศฝรั่งเศสภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อมาวิธีการนี้ได้กระทำกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน 3. การทหาร หลายประเทศได้ใช้กำลังทหารเป็นเครื่องมือสนับสนุนการดำเนินนโยบายต่างประเทศของตน เพราะว่าในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศนั้น แต่ละชาติต่างมุ่งรักษาหรือแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ความมุ่งหมายของการแข่งขันคือความต้องการที่จะให...

4.มาตรการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประเทศ

มาตรการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประเทศ ในกรณีที่เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศขึ้น ประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนั้นย่อมไม่สามารถจะรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศกันไว้ได้ หากความขัดแย้งมีขีดความรุนแรงสูงอาจจะต้องถึงกับมีการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตก็ได้ อย่างไรก็ดี โดยทั่วไปแล้วประเทศคู่กรณีที่เกิดความขัดแย้งนั้นไม่พึงปรารถนาที่จะปล่อยให้ความขัดแย้งมีอยู่ตลอดไป เพราะตราบเท่าที่ยังมีความขัดแย้งอยู่ ประเทศคู่กรณีไม่อาจมีความสัมพันธ์ปกติต่อกันได้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องแสวงหามาตรการที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น สำหรับมาตรการที่ถือเป็นขนบธรรมเนียมในการแก้ไข ความขัดแย้งนั้น มีดังนี้ 1. การเจรจาโดยตรงระหว่างประเทศที่มีปัญหาต่อกัน วิธีการนี้จะใช้ได้กับประเทศที่มีปัญหาต่อกันโดยตรง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นประเทศที่มีพรมแดน ติดต่อกัน ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งที่นำไปสู่ความขัดแย้งกัน เช่น กรณีปัญหาชายแดนพม่าของไทย ซึ่งทำให้รัฐบาลและผู้นำทางทหารของไทยและพม่าต้องเปิดเจรจาต่อกันเพื่อแก้ไขปัญหา เป็นต้น 2. การประนีประนอม เป็นมาตรการที่คู่กรณีที่มีควา...