ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

4.มาตรการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประเทศ

มาตรการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประเทศ
ในกรณีที่เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศขึ้น ประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งนั้นย่อมไม่สามารถจะรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศกันไว้ได้ หากความขัดแย้งมีขีดความรุนแรงสูงอาจจะต้องถึงกับมีการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตก็ได้ อย่างไรก็ดี โดยทั่วไปแล้วประเทศคู่กรณีที่เกิดความขัดแย้งนั้นไม่พึงปรารถนาที่จะปล่อยให้ความขัดแย้งมีอยู่ตลอดไป เพราะตราบเท่าที่ยังมีความขัดแย้งอยู่ ประเทศคู่กรณีไม่อาจมีความสัมพันธ์ปกติต่อกันได้ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องแสวงหามาตรการที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขความขัดแย้งระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น สำหรับมาตรการที่ถือเป็นขนบธรรมเนียมในการแก้ไข
ความขัดแย้งนั้น มีดังนี้

1. การเจรจาโดยตรงระหว่างประเทศที่มีปัญหาต่อกัน
วิธีการนี้จะใช้ได้กับประเทศที่มีปัญหาต่อกันโดยตรง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นประเทศที่มีพรมแดน ติดต่อกัน ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งที่นำไปสู่ความขัดแย้งกัน เช่น กรณีปัญหาชายแดนพม่าของไทย ซึ่งทำให้รัฐบาลและผู้นำทางทหารของไทยและพม่าต้องเปิดเจรจาต่อกันเพื่อแก้ไขปัญหา เป็นต้น

2. การประนีประนอม
เป็นมาตรการที่คู่กรณีที่มีความขัดแย้งและตกลงกันไม่ได้ ยินยอมให้ประเทศเป็นกลางหรือประเทศที่สามเข้าไปมีส่วนร่วมในการประนีประนอม เช่น ในสงครามอินโดจีน ประเทศญี่ปุ่นได้เสนอตัวเข้ามาเป็นผู้เจรจาประนีประนอมยุติความขัดแย้งเรื่องข้อพิพาทดินแดนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส และในปี พ.ศ. 2507 ประเทศไทยได้มีส่วนในการประนีประนอมความขัดแย้งระหว่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ในส่วนที่เกี่ยวกับความขัดแย้งในกรรมสิทธิ์การเป็นเจ้าของเกาะบอร์เนียวตอนเหนือ เป็นต้น

3. อนุญาโตตุลาการ
การใช้อนุญาโตตุลาการมักจะเป็นปัญหาความขัดแย้งเกี่ยวกับกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ระหว่างประเทศ กล่าวคือ คู่กรณีจะเป็นผู้ตกลงใจคัดเลือกคณะบุคคล เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นอนุญาโตตุลาการที่จะมาเป็นผู้พิจารณาและตัดสินข้อพิพาท

4. ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice)
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเป็นองค์กรหนึ่งของสหประชาชาติ มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีข้อพิพาททางกฎหมาย ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างประเทศที่ยอมรับอำนาจของศาลนี้ไว้เป็นการล่วงหน้า หรือพิจารณาคดีอื่นใดที่กฎบัตรสหประชาชาติหรือสนธิสัญญาต่างๆ ได้กำหนดไว้ว่าศาลนี้มีอำนาจพิจารณาชี้ขาดได้ หรือคดีที่คู่พิพาทร้องขอให้มีการพิจารณาชี้ขาด

บรรณานุกรม
อานนท์ อาภาภิรม. 2545. รัฐศาสตร์เบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

2.เครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ

เครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ เครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ประกอบด้วย 1. การทูต การทูต ( Diplomacy) หมายถึง ศิลปะในการดำเนินการและในการเป็นตัวแทนผลประโยชน์แห่งรัฐบาลของตนในต่างประเทศด้วยความเฉลียวฉลาด 2. การเจรจาระหว่างประมุขหรือผู้นำของรัฐ นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา การคมนาคมระหว่างประเทศเจริญก้าวหน้าขึ้นมาก ทำให้การเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างประเทศต่างๆ ทั่วทุกมุมโลกกระทำได้โดยสะดวกรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น จึงทำให้เกิดประเพณีทางการทูตขึ้นใหม่คือการเดินทางไปเจรจาระหว่างประมุขหรือผู้นำของรัฐต่างๆ ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน เป็นบุคคลแรกที่ได้ปฏิบัติ คือ การเดินทางเข้าร่วมประชุมเจรจาที่แวร์ซาร์ย ประเทศฝรั่งเศสภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อมาวิธีการนี้ได้กระทำกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน 3. การทหาร หลายประเทศได้ใช้กำลังทหารเป็นเครื่องมือสนับสนุนการดำเนินนโยบายต่างประเทศของตน เพราะว่าในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศนั้น แต่ละชาติต่างมุ่งรักษาหรือแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ความมุ่งหมายของการแข่งขันคือความต้องการที่จะให...

3.สาเหตุของการขัดแย้งระหว่างประเทศ

สาเหตุของการขัดแย้งระหว่างประเทศ ปรากฏการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นมาในทุกยุคทุกสมัยก็คือความขัดแย้ง ซึ่งหมายถึงสภาวการณ์ที่ตั้งแต่ 2 ประเทศขึ้นไปมีปัญหาบางประการที่ต้องกระทำการตกลงหรือระงับข้อปัญหานั้นเสียก่อน มิเช่นนั้นสภาวะดังกล่าวจะมีผลทำให้ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศไม่อาจดำเนินไปได้อย่างปกติ สำหรับสาเหตุของความขัดแย้งระหว่างประเทศสามารถสรุปได้ 5 ประการ ดังนี้ 1. การขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ของชาติ ผลประโยชน์ของชาติ ได้แก่สิ่งที่ผู้นำหรือประชาชนของประเทศหนึ่งถือว่ามีความสำคัญยิ่งต่อการธำรงไว้ซึ่งเอกราช วิถีชีวิต ความมั่งคั่ง และเกียรติภูมิของประเทศ โดยทั่วไปเมื่อประเทศหนึ่งพิจารณาเห็นว่าอีกประเทศหนึ่งแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ประเทศมากจนเป็นอันตรายต่อประเทศตน การขัดแย้งระหว่างประเทศทั้งสองย่อมเกิดตามมา 2. ทัศนคติที่มีต่อกัน ทัศนคติที่มีต่อกันระหว่างประเทศนั้นเป็นผลมาจากเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันและทัศนคติของประชาชนของแต่ละประเทศเป็นสำคัญ เช่น ทัศนคติที่ไม่ไว้วางใจกันมาแต่ก่อนจะเป็นตัวกำหนดนโยบายต่างประเทศ ดังเช่น เวียดนามมีทัศนคติสืบเนื่องมาจากอดีต...